ในยุคที่การมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องปกติ การดูแลสุขภาพทางเพศจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) เป็นภัยเงียบที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณได้อย่างมาก ทำให้การตรวจ STD จึงเป็นเหมือนเกราะป้องกันที่ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าร่างกายของคุณปลอดภัยจากโรค และยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อคู่รักของคุณอีกด้วย
บทความนี้จะพาไปรู้จักกับ STD Testing ที่เป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัยที่สุดในการตรวจหาเชื้อและรักษาให้หายได้ทันท่วงที
ทำความรู้จักกับโรค STD
โรค STD ย่อมาจาก Sexually Transmitted Diseases คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต ซึ่งสามารถแพร่กระจายจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งผ่านการมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการสัมผัสสารคัดหลั่งจากร่างกาย เช่น เลือด น้ำอสุจิ และของเหลวในร่างกาย
นอกจากนี้ โรค STD สามารถติดเชื้อได้หลายวิธี ไม่จำกัดเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้เข็มร่วมกัน การให้เลือด หรือแม้กระทั่งการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกในระหว่างตั้งครรภ์หรือคลอด
STD Testing คืออะไร ทำไมต้องตรวจ
STD Testing คือการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อค้นหาเชื้อโรคหรือสัญญาณของโรคที่สามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เพราะโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาจไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น ทำให้ผู้ติดเชื้อไม่รู้ตัวและเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นได้
ซึ่งการทำ STD Testing มีความสำคัญหลายอย่าง ดังนี้
- ป้องกันการแพร่กระจายของโรค: ช่วยให้สามารถค้นพบและรักษาโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะมีการแพร่กระจายเชื้อไปยังคนอื่น
- รักษาสุขภาพทางเพศ: การตรวจเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพทางเพศที่ดี โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยครั้งหรือไม่มีการใช้ถุงยาง
- วางแผนอนาคต: สำหรับผู้ที่วางแผนมีบุตรหรือแต่งงาน การตรวจ STD สามารถช่วยให้มั่นใจว่าทั้งคู่ปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
โรคที่ตรวจพบจาก STD Testing

โรค STD มีอะไรบ้าง? ซึ่งโรคที่มักจะถูกพบในโปรแกรม STD Testing ได้แก่
- HIV (เอดส์)
- ซิฟิลิส
- หนองใน (Gonorrhea)
- หนองในเทียม (Chlamydia)
- ไวรัสตับอักเสบ B
- เริม (Herpes)
- มะเร็งปากมดลูก (HPV)
อาการของโรคติดต่อที่ควรทำ STD Testing
โรค STD มีอาการทั้งแบบที่เห็นได้ชัดและแบบที่ไม่มีอาการให้สังเกตได้ง่าย ๆ
อาการที่พบได้บ่อยในผู้หญิง
- ตกขาวมากขึ้น มีสี มีกลิ่น หรือลักษณะเปลี่ยนไป
- รู้สึกเจ็บที่บริเวณอวัยวะเพศในขณะมีเพศสัมพันธ์
- เวลาปัสสาวะจะรู้สึกแสบและอาจมีเลือดปน
- มีผื่น หรือรอยแผล และคันที่บริเวณอวัยวะเพศ
- มีกลิ่นไม่พึงประสงค์จากช่องคลอด
อาการที่พบได้บ่อยในผู้ชาย
- มีตุ่ม ผื่น หรือรอยแผล และคันบริเวณอวัยวะเพศ
- มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศ
- เวลาปัสสาวะจะรู้สึกแสบและอาจมีเลือดปน
- ปวดบริเวณอวัยวะเพศ หรือท้องน้อย
หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง หากปล่อยทิ้งไว้ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว รวมถึงอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้
STD Testing เหมาะกับใคร
- ผู้ที่วางแผนจะแต่งงานหรือมีบุตร: เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่คู่รักและทารกในครรภ์ เพราะโรคบางชนิดสามารถส่งผ่านไปยังทารกได้
- ผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ: เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยครั้ง หรือการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
- ทุกคนที่อายุ 13-64 ปี: ควรได้รับการตรวจเชื้อเอชไอวีอย่างน้อยหนึ่งครั้งเพื่อความปลอดภัย
- ผู้ที่เริ่มมีอาการผิดปกติ: เช่น อาการเจ็บปวดบริเวณอวัยวะเพศ หรือมีตกขาวผิดปกติ ควรเข้ารับการตรวจทันที
- ผู้ที่เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ: มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อจากผู้กระทำ
การเตรียมตัวก่อนตรวจ
การเตรียมตัวก่อนทำ STD Testing เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผลการตรวจมีความแม่นยำและเชื่อถือได้มากขึ้น
- งดการมีเพศสัมพันธ์: ควรงดการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 48 ชั่วโมง ก่อนเข้ารับการตรวจ
- หลีกเลี่ยงการทำความสะอาดภายใน: ห้ามทำความสะอาดภายในช่องคลอดหรืออวัยวะเพศในช่วง 48 ชั่วโมงก่อนตรวจ เพราะอาจทำให้ไม่มีเซลล์เพียงพอสำหรับการตรวจ
- งดใช้ผลิตภัณฑ์ในช่องคลอด: ห้ามใช้ผ้าอนามัยชนิดสอด ครีมหรือยาในช่องคลอดอย่างน้อย 48 ชั่วโมงก่อนตรวจ
- หลีกเลี่ยงการตรวจในช่วงมีประจำเดือน: ควรรอตรวจหลังจากที่ประจำเดือนหมดไปอย่างน้อย 7 วัน เพื่อให้ผลตรวจแม่นยำ
สามารถตรวจโรคได้จากอะไรบ้าง

การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) มีหลายวิธี ซึ่งแพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดตามอาการและประวัติของผู้ป่วย ซึ่งวิธีการตรวจที่พบบ่อย ได้แก่
- ตรวจเลือด: แพทย์จะเจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจหาเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น HIV, ซิฟิลิส, ไวรัสตับอักเสบ B และ C
- ตรวจปัสสาวะ: ใช้สำหรับตรวจหาเชื้อโรคบางชนิดที่พบในปัสสาวะ เช่น หนองในเทียมและหนองในแท้
- ตรวจจากสารคัดหลั่ง: แพทย์จะเก็บตัวอย่างจากบริเวณที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อ เช่น ช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก เพื่อนำไปตรวจหาเชื้อโรค เช่น โรคเริม
- ตรวจทางพันธุกรรม (PCR): เช่น ปัสสาวะ คอ ทวารหนัก ปากมดลูก ผิวหนัง เป็นต้น เป็นวิธีการตรวจที่แม่นยำสูง ใช้ตรวจหาเชื้อโรคที่ตรวจด้วยวิธีอื่นได้ยาก เช่น HPV โดยการตรวจวิเคราะห์ DNA ของเชื้อโรค
การตรวจสุขภาพเหล่านี้มีความปลอดภัยสูงและผลข้างเคียงน้อยมาก หลังจากการตรวจ แพทย์จะนำผลตรวจมาวิเคราะห์และให้คำแนะนำในการรักษาต่อไป หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตรวจสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์
STD Testing ราคาเท่าไร
ราคาการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD Testing) ขึ้นอยู่กับประเภทของการตรวจ จำนวนรายการ และชนิดของโรคที่ต้องการตรวจ ดังนี้
ทำไมต้องเลือก ZbyZeniq Clinic
- ตรวจไว รู้ผลเร็ว: รับผลตรวจภายใน 1 วันทำการ หรือเลือกรับผลด่วนภายในวันเดียว
- ครอบคลุมทุกโรค: ตรวจหาเชื้อ HIV, ซิฟิลิส, ไวรัสตับอักเสบ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ อีกมากมาย
- เทคโนโลยีทันสมัย: ใช้เครื่องมือตรวจวิเคราะห์ที่ทันสมัย ให้ผลตรวจที่แม่นยำ
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: ให้คำปรึกษาและดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทางเพศ
- ราคาพิเศษ: มีโปรโมชันและแพ็กเกจให้เลือกหลากหลาย เพื่อให้คุณเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น
สรุป
STD Testing เป็นการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน หรือมีความเสี่ยงต่าง ๆ ซึ่งสามารถตรวจพบโรคได้หลายชนิด เช่น เอชไอวี ซิฟิลิส หนองใน และเริม โดยคลินิก Z by Zeniq มีบริการตรวจที่ได้มาตรฐาน พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาอย่างเป็นส่วนตัว