ไวรัสตับอักเสบบีเป็นภัยเงียบที่สามารถแพร่กระจายได้ง่าย และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพในระยะยาว หากไม่ได้รับการตรวจและดูแลตั้งแต่ต้น โรคนี้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น ตับแข็งหรือมะเร็งตับ การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ และเพิ่มโอกาสในการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Test) เกิดจากอะไร
ไวรัสตับอักเสบบี (HBV) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดบี ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้หลายวิธี เช่น:
- ของเหลวในร่างกาย: เลือด น้ำอสุจิ น้ำเหลือง
- การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- การสักหรือเจาะร่างกายโดยใช้อุปกรณ์ที่ไม่ได้ฆ่าเชื้อ
- การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น แปรงสีฟัน มีดโกน
- การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก: โดยเฉพาะในระหว่างคลอด
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี
สิ่งที่น่าสนใจคือ ไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจะแสดงอาการ ในความเป็นจริงแล้ว หลายคนอาจไม่มีอาการใด ๆ โดยเฉพาะในระยะแรกของการติดเชื้อ หรือในกรณีของการติดเชื้อเรื้อรัง ลักษณะเงียบของโรคนี้อาจทำให้การตรวจพบในระยะแรกเป็นเรื่องยาก และอาจนำไปสู่การแพร่เชื้อโดยไม่ตั้งใจไปยังผู้อื่น อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีอาการ อาการเหล่านั้นมักแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่:
1. ระยะเฉียบพลัน (ระยะแรก)
- ตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งเกิดจากการที่ตับทำงานผิดปกติ
- ปวดท้อง โดยส่วนใหญ่มักมีอาการปวดที่บริเวณใต้ชายโครงขวา
- อาการคล้ายไข้หวัด มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร รวมถึงคลื่นไส้อาเจียน
- อาการอื่น ๆ เช่น เป็นผื่น ปวดข้อ
- อาการรุนแรง ในบางราย อาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นตับวายได้ เนื่องจากเซลล์ตับถูกทำลายเป็นจำนวนมาก
2. ระยะเรื้อรัง (ระยะยาว)
เมื่อร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสออกได้ ทำให้เชื้อคงอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
- พาหะ ผู้ป่วยยังคงมีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกาย และไม่แสดงอาการใดๆ ให้เห็น แต่ยังคงสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้
- ตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยยังคงมีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกาย และผลการตรวจการทำงานของตับผิดปกติ โดยอาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ร่วมด้วย หรืออาจไม่มีอาการใดๆ
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ตับแข็ง และมะเร็งตับได้ในอนาคต
ทำไมต้องตรวจไวรัสตับอักเสบบี
การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเป็นการตรวจเลือดที่ใช้ระบุว่าคุณเคยติดเชื้อ กำลังติดเชื้อ หรือมีภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีน การตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
ประเภทของการตรวจไวรัสตับอักเสบบี
การตรวจเลือดไวรัสตับอักเสบบีมีหลายประเภทที่ช่วยประเมินสถานะการติดเชื้อ และมีความสำคัญแตกต่างกันไป ดังนี้
- การตรวจ Hepatitis B Surface Antigen (HBsAg) คือ การตรวจหาเชื้อไวรัส HBV โดยตรง หากผลเป็นบวก หมายความว่า ผู้ตรวจกำลังติดเชื้ออยู่ในปัจจุบัน ซึ่งการตรวจนี้มักใช้ในการคัดกรองเบื้องต้น ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำในการตรวจยืนยันผลอีกครั้ง
- การตรวจ Hepatitis B Surface Antibody (Anti-HBs) คือ การตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HBV ซึ่งเกิดจากการฉีดวัคซีน หรือการฟื้นตัวจากการติดเชื้อในอดีต หากผลเป็นบวก แสดงว่า ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคแล้ว
- การตรวจ Hepatitis B Core Antibody (Anti-HBc) คือ การตรวจหาหลักฐานว่า เคยมีการติดเชื้อ HBV มาก่อนหรือไม่ โดย ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อแบบเฉียบพลัน เรื้อรัง หรือเคยติดเชื้อในอดีตแล้วหายขาดไป การตรวจนี้มักใช้ร่วมกับการตรวจ HBsAg และ Anti-HBs เพื่อประเมินสถานะการติดเชื้อโดยละเอียด
- การตรวจ Hepatitis B e-Antigen (HBeAg) และ Hepatitis B DNA การตรวจทั้งสองชนิดนี้ใช้เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค และปริมาณของไวรัสในร่างกาย โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเรื้อรัง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญในการวางแผนการรักษา
ประโยชน์ของการตรวจไวรัสตับอักเสบบี
การตรวจไวรัสตับอักเสบบีเป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่สำคัญ เพื่อประเมินสถานะของการติดเชื้อในร่างกาย โดยมีการตรวจหลายชนิดเพื่อให้ได้ภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น เช่น
- HBeAg ตรวจหาโปรตีนที่ผลิตโดยไวรัสตับอักเสบบี ที่บอกถึงความสามารถในการเพิ่มจำนวนของไวรัส และความรุนแรงของการติดเชื้อ
- HBV DNA ตรวจวัดปริมาณไวรัสในเลือดโดยตรง เพื่อช่วยประเมินปริมาณของไวรัสที่กำลังเพิ่มจำนวนในร่างกาย และความรุนแรงของโรค โดยเฉพาะในผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง การตรวจ HBV DNA มีความสำคัญในการติดตามการตอบสนองต่อการรักษา และประเมินความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
การตรวจไวรัสตับอักเสบบี รวมถึงการตรวจ HBeAg และ HBV DNA แต่เดิมเป็นการตรวจเฉพาะทางที่สามารถทำได้ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ หรือห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองเท่านั้น และแน่นอนที่ Z by Zeniq ของเราก็มีบริการนี้เช่นกัน
ขั้นตอนการตรวจไวรัสตับอักเสบบี
การเตรียมตัว
ไม่จำเป็นต้องงดอาหาร หรือเตรียมตัวอะไรพิเศษ กรุณาแจ้งแพทย์ ถ้ามีโรคประจำตัวหรือทานยาอยู่เป็นประจำ
ขั้นตอนการตรวจ
- พยาบาลจะเจาะเลือดจากแขน (คล้ายกับเวลาตรวจสุขภาพทั่วไป)
- ก่อนเจาะเลือด พยาบาลจะทำความสะอาดบริเวณที่เจาะให้สะอาด โดยอาจเป็นการเจาะเลือดที่แขน หรือ เจาะเลือดจากปลายนิ้ว
- หลังเจาะเลือดเสร็จ ก็กลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เลย
รอผลตรวจ
ตัวอย่างเลือดจะถูกส่งไปตรวจในห้องปฏิบัติการ โดยผลตรวจส่วนใหญ่จะออกภายใน 30 นาที – 2 วัน
ความหมายของผลตรวจ
- HBsAg บวก หมายความว่า คุณกำลังติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่ในขณะนี้
- Anti-HBs บวก หมายความว่า ร่างกายของคุณมีภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบบีแล้ว อาจเกิดจากการฉีดวัคซีน หรือเคยติดเชื้อแล้วหายดี
- Anti-HBc บวก หมายความว่า คุณเคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมาก่อนในอดีด
- HBeAg และ HBV DNA บวก หมายถึง คุณมีปริมาณไวรัสที่กำลังเพิ่มจำนวนอยู่ในร่างกาย ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเรื้อรัง
การรักษาไวรัสตับอักเสบบี
การรักษาในปัจจุบันประกอบด้วยยารับประทานและการฉีดยาเพื่อควบคุมการติดเชื้อ โดยการเลือกวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ชนิดของไวรัส สุขภาพโดยรวม และระยะของโรค แพทย์จะเป็นผู้แนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
ตรวจไวรัสตับอักเสบบีที่ Z by Zeniq ดีอย่างไร
Z by Zeniq มีบริการตรวจไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ที่ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเบื้องต้น หรือการตรวจเชิงลึกเพื่อยืนยันผล เรามีบริการตรวจหลากหลายรูปแบบให้เลือก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคุณ หากผลตรวจพบการติดเชื้อ เราพร้อมดูแลคุณอย่างใกล้ชิด ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
สรุป
การตรวจไวรัสตับอักเสบบีเป็นการป้องกันโรคร้ายแรงที่สำคัญ ใช้การตรวจเลือดเพียงเล็กน้อย ก็สามารถช่วยประเมินสถานะการติดเชื้อ และเพิ่มโอกาสในการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่ารอช้า ดูแลสุขภาพตับของคุณด้วยการตรวจคัดกรองที่ง่ายและสะดวกกับ Z by Zeniq!
ที่ Z by Zeniq คือคลินิกสุขภาพทางเพศ รักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างครอบคลุมและเป็นความลับ เรามีแพทย์เวชศาสตร์ทางเพศพร้อมให้บริการ ทั้งการตรวจวินิจฉัย และให้คำปรึกษาอย่างละเอียด ในบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว ปลอดภัย และไม่ตัดสิน คุณสามารถนัดหมายได้ง่าย ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ หรือโทรมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย