Hotline: (+66)98 764 7222

ตรวจ HIV ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว

ตรวจ HIV ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นเรื่องสำคัญ ตรวจก่อนสายเกินแก้

การตรวจหาเชื้อ HIV ไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัวอย่างที่หลายคนคิดด และถือเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพของคุณ การทราบสถานะของตนเองจะช่วยให้คุณวางแผนชีวิต และดูแลได้อย่างเหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจุบันเทคโนโลยี และความก้าวหน้าทางการแพทย์ยังช่วยพัฒนาการรักษาผู้ที่ติดเชื้อ HIV ได้ดีขึ้นจากเดิมมาก ทำให้ผู้มีเชื้อ HIV สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ หากคุณมีความเสี่ยง หรือมีเพศสัมพันธ์เป็นประจำ การตรวจเอชไอวีเป็นประจำถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

การตรวจ HIV คืออะไร

การตรวจ HIV คือ การตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวี หรือตรวจหาภูมิคุ้นเคยของไวรัสเอชไอวี โดยการนำตัวอย่างสารคัดหลั่งจากร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการขูดเซลล์จากช่องปาก หรือการเจาะเลือด ไปตรวจในห้องปฏิบัติการ โดยในปัจจุบันมีบริการตรวจ HIV ที่ฟรี และเสียค่าบริการตามสถานพยาบาลต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาลรัฐ และคลินิกทั่วไปที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง โดยผู้ที่เข้ารับการตรวจไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้

ความสำคัญของการตรวจ HIV

การตรวจ HIV เป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการยืนยันว่าเราติดเชื้อ HIV หรือไม่ ซึ่งการตรวจพบเชื้อ HIV ในระยะเริ่มต้นและได้เข้ารับการรักษาที่ถูกต้องทันที จะช่วยให้ผู้ป่วยลดความกังวล และสามารถควบคุมเชื้อไวรัสได้ ทำให้ผู้ป่วยมีอายุขัยที่ยาวนานขึ้น มีสุขภาพที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยเช่นกัน

หากมีการติดเชื้อแบบไม่รู้ตัว และไม่รีบเข้ารับการรักษา เชื้อ HIV จะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดภาวะโรคเอดส์ ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV และอาจนำไปสู่การเกิดการติดเชื้อฉวยโอกาสที่ร้ายแรงต่าง ๆ เช่น โรคปอด โรคเริม วัณโรค รวมถึงโรคติดเชื้อต่าง ๆ เป็นต้น

ใครบ้างที่ควรตรวจ HIV 

การตรวจ HIV สำคัญมาก ไม่เฉพาะกับคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มคนที่อาจมีความเสี่ยงอื่น ๆ ที่จะติดเชื้อ HIV ได้อีกด้วย 

  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
  • ผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ
  • ผู้ที่เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ
  • ผู้หญิงตั้งครรภ์ ที่ฝากครรภ์
  • ทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อ HIV
  • ผู้ที่ป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • บุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเลือดหรือของเหลวในร่างกาย

ควรตรวจหลังจากมีความเสี่ยงกี่วัน

เชื้อไวรัส HIV สามารถตรวจพบได้เร็วที่สุด ประมาณ 10 วัน หลังความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV โดยใช้หลักการตรวจที่มีความแม่นยำสูงนั่นคือ การตรวจ HIV PCR Test แต่สำหรับการตรวจหาเชื้อไวรัส HIV โดยทั่วไป มักจะสามารถตรวจพบเชื้อไวรัส HIV ประมาณ 14-30 วันหลังความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV ขึ้นกับชนิดและ Generation ของการตรวจนั้น ๆ

อย่างไรก็ตาม หากยังอยู่ในช่วง 72 ชั่วโมงแรก หลังมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV ควรเข้ารับตรวจเลือดหลังจากได้รับความเสี่ยงทันที และรับยาต้านฉุกเฉิน (PEP)  และควรเข้ารับการตรวจซ้ำตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อยืนยันผลตรวจ 

การตรวจ HIV มีกี่รูปแบบ

ตรวจ HIV มีกี่แบบ

การตรวจหาเชื้อ HIV มีหลากหลายวิธี โดยแต่ละวิธีมีความแตกต่างกันในแง่ของความรวดเร็ว ความแม่นยำ และระยะเวลาที่ตรวจจะพบเชื้อ ดังนี้

รูปแบบ Anti-HIV

เป็นการตรวจเลือดเพื่อตรวจหาแอนติบอดี ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการติดเชื้อ HIV เมื่อมีเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะสร้างแอนติบอดีขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส ซึ่งการตรวจหาแอนติบอดีนี้จึงเป็นวิธีหนึ่งในการตรวจสอบว่าบุคคลนั้นติดเชื้อ HIV หรือไม่ โดยทั่วไปจะสามารถตรวจพบแอนติบอดีได้หลังจากติดเชื้อประมาณ 4 สัปดาห์ และผลการตรวจจะทราบได้ภายใน 30 นาที – 1 ชั่วโมง

รูปแบบหาแอนติเจนในเชื้อ HIV 

เป็นการตรวจเลือดเพื่อหาโปรตีนชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า p24 ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเชื้อ HIV โดยวิธีนี้ใช้ในการตรวจหาการติดเชื้อ HIV ในระยะแรก หรือระยะเฉียบพลัน ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายของผู้ติดเชื้อยังไม่สร้างแอนติบอดีเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส หรือมีปริมาณแอนติบอดีน้อยเกินกว่าที่จะตรวจพบได้ด้วยวิธีอื่น ๆ โดยทั่วไปจะสามารถตรวจพบแอนติเจน p24 ได้ภายใน 14-21 วันหลังจากได้รับเชื้อหรือสัมผัสเชื้อ

รูปแบบ HIV PCR Test 

การตรวจ HIV PCR Test เป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ HIV โดยตรง ซึ่งมีความแม่นยำสูง และสามารถตรวจพบเชื้อได้เร็วที่สุด โดยทั่วไปจะสามารถตรวจพบเชื้อได้ใน 10 วันหลังจากได้รับ หรือสัมผัสเชื้อ 

รูปแบบ Rapid HIV Test

เป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้น ที่สามารถให้ผลการตรวจได้ภายในเวลาประมาณ 20 นาที โดยจะใช้การเจาะเลือดจากปลายนิ้วในการตรวจ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเจ็บตัวมาก และหากผลการตรวจบ่งชี้ว่าอาจติดเชื้อ HIV แพทย์จะแนะนำให้ทำการตรวจซ้ำด้วยวิธีอื่นที่แม่นยำกว่า เช่น การตรวจ PCR เพื่อยืนยันผลการวินิจฉัยที่ถูกต้อง

การเตรียมตัวก่อนตรวจ 

  • สำรวจความเสี่ยง ก่อนไปตรวจ ลองนึกย้อนกลับไปว่าเคยมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV หรือไม่ เช่น มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น หรือสัมผัสเลือดของผู้อื่น
  • ปรึกษาแพทย์ เมื่อไปถึงสถานพยาบาล ให้บอกแพทย์หรือพยาบาลเกี่ยวกับประวัติและความเสี่ยงที่คุณเคยเจอ เพื่อให้แพทย์แนะนำวิธีตรวจที่เหมาะสมที่สุดกับคุณ

ขั้นตอนการตรวจ HIV 

การตรวจ HIV ไม่ได้น่ากลัว และใช้เวลาน้อยกว่าที่คุณคิด โดยทั่วไปแล้ว ขั้นตอนการตรวจจะใช้เวลาประมาณ 40 นาทีถึง 1 ชั่วโมง และมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

  1. แพทย์จะซักประวัติและพฤติกรรมความเสี่ยงของคุณ เพื่อประเมินความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV จากนั้น แพทย์จะแนะนำวิธีการตรวจที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
  2. แพทย์จะเจาะเลือดจากบริเวณข้อพับแขน หรือปลายนิ้วเพื่อนำไปตรวจหาเชื้อ HIV ในห้องปฏิบัติการ
  3. หลังจากผลตรวจออกแล้ว  แพทย์จะอธิบายผลการตรวจให้คุณฟังอย่างละเอียด และให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพทางเพศต่อไป

ขั้นตอนการตรวจ HIV 

ชุดตรวจแบบเจาะปลายนิ้ว

  1. เปิดชุดตรวจ วางบนพื้นที่สะอาด
  2. นวดปลายนิ้วให้เลือดไหลเวียนดี ใช้เข็มเจาะเลือดตามคำแนะนำในคู่มือ
  3. บีบเลือด 1 หยดลงในขวดน้ำยาที่เตรียมไว้
  4. จับเวลาตามที่กำหนดในคู่มือ และอ่านผลตามขั้นตอน

ชุดตรวจจากน้ำลาย

  1. เปิดชุดตรวจ วางบนพื้นที่สะอาด
  2. ใช้แผ่นป้ายเก็บตัวอย่างน้ำลายตามบริเวณซอกเหงือกทั้งบนและล่าง
  3. นำแผ่นป้ายใส่ลงในหลอดน้ำยาที่เตรียมไว้
  4. จับเวลาตามที่กำหนดในคู่มือ และอ่านผลตามขั้นตอน

การอ่านผลตรวจ มีกี่วิธี

ผลการตรวจ HIV โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้

  • ผลบวก (Reactive) หมายความว่า ตรวจพบเชื้อ HIV ในร่างกายของคุณ 
  • ผลลบ (Non-reactive) หมายความว่า ณ ขณะนี้ ไม่พบเชื้อ HIV ในร่างกายของคุณ อย่างไรก็ตาม หากคุณเพิ่งมีพฤติกรรมเสี่ยง เชื้ออาจยังอยู่ในระยะเริ่มแรกและตรวจไม่พบ ควรตรวจซ้ำอีกครั้งตามที่คำแนะนำของแพทย์ เพื่อความแน่ใจ และระหว่างนี้ควรป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อและการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น โดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • ผล Invalid หมายความว่าผลการตรวจไม่ชัดเจน อาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ตัวอย่างเลือดมีปัญหา หรือชุดตรวจมีข้อบกพร่อง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจซ้ำ
  • ผลผิดพลาด แม้ว่าการตรวจ HIV จะมีความแม่นยำสูง แต่ก็อาจเกิดความผิดพลาดได้เช่นกัน
  1. ผลบวกลวง (False positive) คือ ผลตรวจออกมาบวก แต่จริง ๆ แล้วคุณไม่ได้ติดเชื้อ HIV อาจเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องบางชนิด
  2. ผลลบลวง (False negative) คือ ผลตรวจออกมาลบ แต่จริง ๆ แล้วคุณติดเชื้อ HIV อาจเกิดจากการตรวจเร็วเกินไป หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้ตรวจไม่พบเชื้อ

การดูแลตนเองหลังตรวจ

กรณีที่ผลตรวจ HIV เป็นบวก

เมื่อได้รับการยืนยันผลบวกที่ชัดเจนแล้ว คุณหมอจะทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด มีการสั่งตรวจเลือด รวมถึงการตรวจเอกซเรย์ปอด โดยที่คุณหมอเจ้าของไข้ จะให้คำแนะนำในการรักษา และช่วยวางแผนการรักษาให้เหมาะสมที่สุด

ปัจจุบันมีการพัฒนาการรักษาที่ทำให้ผู้ติดเชื้อ HIV ให้สามารถมีชีวิตได้อย่างปกติ โดยการเริ่มรับประทานยาต้านเชื้อไวรัส HIV อย่างสม่ำเสมอ และมีวินัย จะช่วยชะลอการลุกลามของเชื้อ HIV ป้องกันโรคแทรกซ้อน และลดโอกาสในการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว การดูแลสุขภาพโดยรวมก็สำคัญเช่นกัน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และที่สำคัญคือการดูแลสุขภาพจิตให้แข็งแรง การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนจะช่วยให้คุณรับมือกับความรู้สึกต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

กรณีที่ผลตรวจ HIV เป็นลบ

แม้ว่าผลตรวจ HIV เป็นลบ แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่เชื้อ HIV จะอยู่ในระยะเริ่มแรกที่ยังตรวจไม่พบ ดังนั้น ควรกลับมาตรวจซ้ำตามที่คำแนะนำของแพทย์ และป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ HIV ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ

กี่วันถึงจะรู้ผลการตรวจ HIV

ระยะเวลาที่ใช้ในการทราบผลตรวจ HIV กี่วันนั้นขึ้นอยู่กับ วิธีการตรวจที่ใช้และสถานพยาบาลที่ไปตรวจ โดยทั่วไปแล้ว การตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อ HIV จะใช้เวลาในการตรวจในห้องปฏิบัติการประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ระยะเวลาที่จะได้รับผลลัพธ์อาจแตกต่างกันออกไป

ตรวจเชื้อ HIV ที่ไหนดี

เลือกตรวจเชื้อ HIV ที่ไหนดี? การตรวจเชื้อ HIV เป็นเรื่องสำคัญมาก ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย ไม่ใช่เพียงเป็นคลินิกตรวจ HIV ฟรีใกล้ฉันเท่านั้น

  • ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง แม้ว่าคลินิกจะอยู่ใกล้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเชี่ยวชาญในการตรวจเชื้อ HIV โดยเฉพาะ ควรตรวจสอบว่าคลินิกมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่
  • มาตรฐานการตรวจ ควรสอบถามเกี่ยวกับวิธีการตรวจที่คลินิกใช้ เช่น การตรวจเลือดชนิดใด มีความแม่นยำสูงแค่ไหน และผลตรวจออกภายในกี่วัน
  • ความเป็นส่วนตัว การตรวจเชื้อ HIV เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ควรเลือกสถานพยาบาลที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วย

สรุป

การตรวจ HIV เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์ปัจจุบันช่วยให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ การตรวจพบเชื้อเร็วจะช่วยให้สามารถรักษาและควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเลือกสถานพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญ มีมาตรฐาน และให้ความเป็นส่วนตัวในการตรวจ ที่ Z by Zeniq เรามีบริการตรวจ HIV ครบวงจร ทั้งให้คำปรึกษา ตรวจเลือด และสามารถรับการรักษากับเราได้เช่นกัน อย่ารอช้า ทำนัดเข้ามาที่ Z by Zeniq ได้เลย

ที่ Z by Zeniq คือคลินิกสุขภาพทางเพศ รักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างครอบคลุมและเป็นความลับ เรามีแพทย์เวชศาสตร์ทางเพศพร้อมให้บริการ ทั้งการตรวจวินิจฉัย และให้คำปรึกษาอย่างละเอียด ในบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว ปลอดภัย และไม่ตัดสิน คุณสามารถนัดหมายได้ง่าย ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ หรือโทรมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย