Hotline: (+66)98 764 7222

หนองในเทียม เป็นอย่างไร รักษายังไง

หนองในเทียมคืออะไร? สังเกตอาการในผู้หญิงและผู้ชาย พร้อมวิธีรักษา

หนองในเทียม เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยชนิดหนึ่ง แม้จะมีความคล้ายกับหนองในแท้ แต่สาเหตุและอาการก็แตกต่างกันออกไป ซึ่งการรู้จักอาการของหนองในเทียมในทั้งผู้หญิงและผู้ชาย จะช่วยให้คุณสามารถสังเกตและเข้าใจร่างกายตัวเองได้ดียิ่งขึ้น และหากสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อ ก็สามารถรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาได้ทันท่วงที

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับหนองในเทียมให้มากขึ้น ทั้งอาการที่สังเกตได้ในทั้งผู้หญิงและผู้ชาย รวมถึงวิธีการรักษาที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณดูแลสุขภาพตัวเองได้อย่างรอบด้าน

หนองในเทียม คืออะไร

หนองในเทียม (Chlamydia) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง โดยมักจะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นพาหะ ซึ่งผู้ที่เป็นหนองในส่วนใหญ่ อาจไม่มีอาการแสดงใด ๆ ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองติดเชื้อ ซึ่งเป็นอันตราย เพราะอาจส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ในระยะยาวได้ 

หนองในเทียม VS. หนองในแท้ ต่างกันอย่างไร

หนองในเทียมและหนองในแท้ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียต่างชนิดกัน ดังนี้

  • หนองในแท้ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดไนซีเรีย โกโนเรียอี (Neisseria gonorrhoeae)  ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ 
  • หนองในเทียม เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ไนซีเรีย โกโนเรียอี 

แม้ว่าทั้งสองโรคจะมีสาเหตุแตกต่างกัน แต่ก็สามารถแสดงอาการที่คล้ายคลึงกันได้ เช่น ปวดแสบขัดเวลาปัสสาวะ มีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ หรืออวัยวะเพศ อย่างไรก็ตาม หนองในเทียมมักมีอาการไม่ชัดเจน หรือมีอาการน้อยกว่าหนองในแท้ และระยะฟักตัวของเชื้อหนองในเทียม ก็มักจะนานกว่าด้วย ทำให้การวินิจฉัยโรคหนองในเทียมอาจทำได้ยากกว่า

อาการของหนองในเทียม

หนองในเทียมเป็นยังไง? โรคหนองในเทียมในช่วงแรก มักไม่มีอาการให้สังเกตเห็นชัดเจน แต่หลังจากได้รับเชื้อแล้วประมาณ 1-3 สัปดาห์ อาการจะเริ่มปรากฏออกมา โดยมีความแตกต่างกันไปตามเพศ ดังนี้

อาการในเพศชาย 

ผู้ป่วยหนองในเทียมของผู้ชายจะสังเกตเห็นอาการที่ชัดเจน ได้แก่ 

  • มีสารคัดหลั่งใสหรือขุ่น ไหลออกมาจากปลายอวัยวะเพศ ซึ่งแตกต่างจากปัสสาวะหรือน้ำอสุจิ 
  • บริเวณหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศอาจมีอาการอักเสบ แดง หรือบวม ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว
  • เมื่อปัสสาวะ อาจมีอาการปวดแสบร้อนหรือปวดเบา ๆ 
  • ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึก ปวดหรือมีอาการบวมที่บริเวณลูกอัณฑะ

อาการในเพศหญิง 

ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการใด ๆ ที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน ทำให้การวินิจฉัยโรคในระยะเริ่มแรกค่อนข้างยาก อย่างไรก็ตาม มีผู้หญิงประมาณ 30% ที่จะแสดงอาการออกมา ซึ่งอาการที่พบบ่อย ได้แก่ 

  • มีตกขาวผิดปกติ เช่น มีปริมาณมากขึ้น มีสีเหลืองหรือเขียว และมีกลิ่นเหม็น
  • มีอาการปวดแสบขณะปัสสาวะ รู้สึกคันหรือแสบร้อน บริเวณอวัยวะเพศ 
  • บางรายอาจมีอาการปวดท้องน้อยขณะมีประจำเดือนหรือขณะมีเพศสัมพันธ์ได้

อาการอื่น ๆ ที่พบได้บ่อย ทั้งเพศชายและหญิง

นอกจากอาการที่พบได้บ่อยในอวัยวะเพศแล้ว ก็อาจพบอาการอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักอาจทำให้เกิดอาการเจ็บ ปวด มีเลือดออก หรือ มีหนองไหลออกจากบริเวณทวารหนักได้ ส่วนการมีเพศสัมพันธ์ทางปากอาจทำให้รู้สึกเจ็บคอ ไอ มีไข้ หรือมีอาการระคายเคืองในช่องปากได้ ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นบริเวณที่เชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยตรง

หนองในเทียมเกิดจากอะไร 

หนองในเทียมเกิดจากเชื้ออะไร? หนองในเทียม เกิดจากสาเหตุการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า คลามัยเดีย ทราโคมาติส (Chlamydia Trachomatis) การติดเชื้อนี้มักจะเกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน กับผู้ที่เป็นพาหะนำเชื้อ โดยเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้สามารถแพร่กระจายได้หลายทาง ได้แก่

  • ทางอวัยวะเพศ ซึ่งเป็นวิธีการแพร่กระจายที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางช่องคลอด ช่องทวารหนัก หรือท่อปัสสาวะ
  • ทางทวารหนัก การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักก็สามารถทำให้ติดเชื้อหนองในเทียมได้เช่นกัน
  • ทางปาก การมีเพศสัมพันธ์ทางปากก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้ติดเชื้อได้
  • ทางตา หากมีสารคัดหลั่งจากร่างกายของผู้ติดเชื้อกระเด็นเข้าตา ก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตาได้
  • จากแม่สู่ลูก หากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อหนองในเทียม อาจส่งเชื้อไปยังทารกในครรภ์ได้ขณะคลอด ทำให้ทารกเกิดมาพร้อมกับการติดเชื้อ

หนองในเทียมหายเองได้ไหม? หนองในเทียมไม่สามารถหายเองได้ ต้องทานยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น

การวินิจฉัยโรคจากแพทย์

เมื่อสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อหนองในเทียม แพทย์จะเริ่มต้นด้วยการ สอบถามประวัติทางการแพทย์ และพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ จากนั้นจะทำการตรวจร่างกาย โดยการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่ง จากบริเวณที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อ เช่น ปากมดลูก ปลายท่อปัสสาวะ ทวารหนัก หรือลำคอ เพื่อนำไปตรวจหาเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคหนองในเทียม โดยสามารถเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งได้ 2 วิธี ดังนี้

  • การใช้สำลีเก็บตัวอย่าง (Swab Test) แพทย์จะใช้ไม้พันสำลีเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากบริเวณที่สงสัย แล้วนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการโดยวิธี PCR หรือการเพาะเชื้อ
  • การตรวจปัสสาวะ (Urine Test) การเก็บปัสสาวะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการตรวจหาเชื้อหนองในเทียม โดยผู้ป่วยจะต้องเก็บปัสสาวะกลางกระแสปัสสาวะมาตรวจ

โดยทั่วไป ผลการตรวจจะทราบภายใน 7-10 วัน แต่ในบางกรณี หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงหรือมีความเสี่ยงสูง แพทย์อาจให้การรักษาทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน

วิธีการรักษาหนองในเทียม

วิธีรักษาหนองในเทียมมักใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่มแมคโครไลด์ เช่น อะซิทรอมัยซิน หรือกลุ่มเตตราไซคลิน เช่น ดอกซี่ไซคลิน เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย

หนองในเทียมที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก และคอ 

สำหรับผู้ที่ติดเชื้อหนองในเทียมที่บริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือคอ แพทย์มักจะเลือกใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อ โดยยาที่นิยมใช้มีดังนี้

  • อะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) เป็นยาที่กินเพียงครั้งเดียว สะดวกต่อการรับประทาน ควรกินก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง
  • ดอกซีไซคลิน (Doxycycline) ต้องกินยาเป็นเวลา 14 วัน โดยแบ่งกินวันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร
  • อิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ต้องกินยาเป็นเวลา 14 วัน โดยแบ่งกินวันละ 4 ครั้ง
  • ร็อกซิโทรมัยซิน (Roxithromycin) ต้องกินยาเป็นเวลา 14 วัน โดยแบ่งกินวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร 15 นาที

หนองในเทียมเยื่อบุตาในผู้ใหญ่ 

แพทย์อาจเลือกใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งต่อไปนี้ เพื่อรักษาอาการ ดังนี้

  • อะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) กินเพียงครั้งเดียว สะดวกต่อการรับประทาน
  • ดอกซีไซคลิน (Doxycycline) กินวันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร เป็นเวลา 10 วัน
  • อิริโทรมัยซิน (Erythromycin) กินวันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร เป็นเวลา 21 วัน
  • เตตราไซคลิน (Tetracycline) กินวันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร เป็นเวลา 21 วัน

หนองในเทียมในหญิงตั้งครรภ์

สำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อหนองในเทียม แพทย์มักจะเลือกใช้ยาปฏิชีวนะหลายชนิดร่วมกัน เพื่อให้การรักษาได้ผลดีที่สุด โดยยาที่นิยมใช้ ได้แก่

  • เซฟไตรอะโซน (Ceftriaxone) มักฉีดเข้ากล้ามเนื้อเพียงครั้งเดียว
  • อะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) กินเพียงครั้งเดียว สะดวกต่อการรับประทาน
  • อิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ต้องกินเป็นเวลา 7-14 วัน โดยแบ่งกินวันละ 2-4 ครั้ง หลังอาหาร

การเลือกยาและขนาดยาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะของการตั้งครรภ์ ความรุนแรงของอาการ และชนิดของเชื้อโรค ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมที่สุดเสมอ

หนองในเทียมในเด็ก

การรักษาหนองในเทียมในเด็กนั้นขึ้นอยู่กับอายุ น้ำหนัก และตำแหน่งที่ติดเชื้อ โดยทั่วไปแพทย์จะเลือกใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย

เด็กที่ติดเชื้อที่ช่องคลอด อวัยวะเพศ และทวารหนัก

  • เด็กน้ำหนักน้อยกว่า 45 กิโลกรัม มักจะได้รับ อิริโทรมัยซินโดยคำนวณขนาดยาตามน้ำหนักตัว แบ่งกินวันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร เป็นเวลา 14 วัน
  • เด็กน้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป อายุต่ำกว่า 8 ปี มักจะได้รับ อะซิโธรมัยซินเพียงครั้งเดียว
  • เด็กอายุ 8 ปีขึ้นไป สามารถใช้อะซิโธรมัยซิน หรือดอกซีไซคลินได้ โดยขนาดยาจะใกล้เคียงกับผู้ใหญ่

เด็กทารกที่ติดเชื้อที่เยื่อบุตา

  • อิริโทรมัยซิน คำนวณขนาดยาตามน้ำหนักตัว แบ่งกินวันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร เป็นเวลา 14 วัน
  • อะซิโธรมัยซิน คำนวณขนาดยาตามน้ำหนักตัว กินวันละครั้ง เป็นเวลา 3 วัน

ใช้เวลาในการรักษากี่วัน ถึงจะหาย

หนองในเทียม กินยากี่วันหาย? ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์หลังเริ่มการรักษา อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยหญิงบางรายอาจมีอาการติดเชื้อรุนแรง ซึ่งอาจต้องได้รับยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือด ในระหว่างการรักษา ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ทุกชนิด แม้จะใช้ถุงยางอนามัยก็ตาม 

สำหรับผู้ที่ได้รับยาเพียงครั้งเดียว ควรรออย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนกลับมาใช้ชีวิตทางเพศตามปกติ และควรทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด แม้จะรู้สึกดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการดื้อยา นอกจากนี้ หลังจากนั้น 3 เดือน ควรกลับมาตรวจสุขภาพอีกครั้ง และควรแนะนำให้คู่เพศมาตรวจหาเชื้อภายใน 6 เดือน เพื่อป้องกันการกลับมาติดเชื้อซ้ำ

ในกรณีที่ดื้อยา ต้องรักษาอย่างไร

การรักษาโรคหนองในเทียมที่ดื้อยา เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ของแพทย์ การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และการตรวจติดตามผลเป็นระยะสำคัญ เพื่อให้การรักษาประสบความสำเร็จและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยาต่อไป

ภาวะแทรกซ้อนของโรค

โรคหนองในเทียมอันตรายไหม? การปล่อยให้โรคหนองในเทียมเรื้อรัง โดยไม่ได้รับการรักษาเป็นอันตรายมาก เพราะอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ เช่น การติดเชื้อลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ อันตรายถึงชีวิตได้ หรืออาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากในอนาคต

ภาวะแทรกซ้อนในเพศชาย

  • อัณฑะอักเสบหรือต่อมลูกหมากติดเชื้อ ซึ่งทำให้เกิดอาการปวด บวม มีไข้หนาวสั่น ปัสสาวะแสบขัด และปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ หากปล่อยไว้นาน อาจส่งผลต่อความสามารถในการมีบุตรได้ 
  • ข้ออักเสบ หรือที่เรียกว่า โรคไรเตอร์ อาการนี้มักเกิดขึ้น หลังจากติดเชื้อหนองในเทียมไปแล้วระยะหนึ่ง และมักมีอาการทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือตาอักเสบร่วมด้วย

ภาวะแทรกซ้อนในเพศหญิง

หากผู้หญิงติดเชื้อหนองในเทียมแล้วไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ เช่น การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน ซึ่งเป็นภาวะที่เชื้อแบคทีเรียลุกลามไปยังอวัยวะสืบพันธุ์ส่วนบน เช่น มดลูกและท่อนำไข่ ทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อยรุนแรง มีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ และมีเลือดออกผิดปกติ นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา เช่น ภาวะมีบุตรยาก การตั้งครรภ์นอกมดลูก และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในอุ้งเชิงกรานในระยะยาวได้

วิธีการป้องกันหนองในเทียม

การป้องกันหนองในเทียมที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ ยังมีวิธีการป้องกันอื่น ๆ ที่สามารถทำได้ ดังนี้

  • ใช้ถุงยางอนามัย การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เป็นวิธีการป้องกันที่ได้ผลดีที่สุดในการลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อหนองในเทียมและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ
  • มีคู่นอนเพียงคนเดียว การมีคู่นอนเพียงคนเดียว และมีความซื่อสัตย์ต่อกัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อย่างมาก
  • หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด การสวนล้างช่องคลอดบ่อยเกินไปอาจทำลายสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด ส่งผลให้ช่องคลอดอ่อนแอลงและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะหากมีพฤติกรรมเสี่ยง การตรวจสุขภาพจะช่วยให้สามารถตรวจพบและรักษาโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

สรุป

หนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อันตรายหากไม่ได้รับการรักษา ซึ่งสามารถส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบสืบพันธุ์และสุขภาพโดยรวม ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการชัดเจน ดังนั้นการตรวจสุขภาพและป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ การใช้ถุงยางอนามัย การมีคู่นอนเพียงคนเดียว และการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ 

ที่ Z by Zeniq คือคลินิกสุขภาพทางเพศ รักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างครอบคลุมและเป็นความลับ เรามีแพทย์เวชศาสตร์ทางเพศพร้อมให้บริการ ทั้งการตรวจวินิจฉัย และให้คำปรึกษาอย่างละเอียด ในบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว ปลอดภัย และไม่ตัดสิน คุณสามารถนัดหมายได้ง่าย ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ หรือโทรมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย