Hotline: (+66)98 764 7222

โรคเริม

โรคเริม เกิดจากอะไร? รักษาได้ไหม? อย่าปล่อยไว้ อาจเป็นปัญหาใหญ่

เคยสังเกตไหมว่า บางครั้งริมฝีปากของเรามักจะขึ้นตุ่มใสเล็ก ๆ พร้อมกับรู้สึกแสบ ๆ คัน ๆ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของ “โรคเริม” โรคติดต่อที่พบได้บ่อย และสามารถแพร่กระจายได้ง่ายกว่าที่คุณคิด โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และผู้ใหญ่ การปล่อยให้โรคเริมลุกลาม อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงตามมาได้ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน หรือแม้แต่เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV

โรคเริม คืออะไร

โรคเริม (Herpes simplex) คือ การติดเชื้อไวรัส HSV-1 หรือ HSV-2 ทำให้เกิดตุ่มน้ำใส พุพอง และแผลที่ผิวหนังหรือเยื่อบุ โดยเฉพาะบริเวณริมฝีปากและอวัยวะเพศ อาการอื่น ๆ ได้แก่ คัน ยุบยิบ ปวดแสบปวดร้อน และมีไข้ ซึ่งการติดเชื้อมักเกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มน้ำ หรือของเหลวจากแผล แม้จะมีการรักษาเพื่อบรรเทาอาการ แต่เชื้อไวรัสยังคงอยู่ในร่างกาย และอาจกลับมาแสดงอาการซ้ำได้เมื่อภูมิคุ้มกันลดลง

เริมมีกี่ชนิด อะไรบ้าง

โรคเริมแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักตามเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรค ได้แก่

  • Herpes simplex virus type 1 (HSV-1) มักพบแผลที่บริเวณเหนือเอว เช่น ริมฝีปาก ใบหน้า หรือผิวหนัง ส่วนใหญ่ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรง
  • Herpes simplex virus type 2 (HSV-2) มักพบแผลที่บริเวณใต้เอว เช่น อวัยวะเพศ ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์

อย่างไรก็ตามทั้ง HSV-1 และ HSV-2 สามารถก่อให้เกิดแผลที่บริเวณอื่น ๆ ของร่างกายได้เช่นกัน

สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคเริม

โรคเริมเกิดจากอะไร? สาเหตุของโรคเริมนั้นเกิดจากร่างกายของเราติดเชื้อไวรัส HSV-1 และไวรัส HSV-2 

การติดเชื้อไวรัส HSV-1

  • การจูบ การสัมผัสริมฝีปากกับผู้ติดเชื้อโดยตรง
  • การหอมแก้ม การสัมผัสบริเวณใบหน้าที่อาจมีรอยโรค
  • การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ หลอดดูด ลิปสติก มีดโกน
  • ออรัลเซ็กส์ การสัมผัสอวัยวะเพศของผู้ติดเชื้อด้วยปาก

การติดเชื้อไวรัส HSV-2

  • การมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศทางช่องคลอด, ช่องทวารหนัก หรือการสัมผัสอวัยวะเพศโดยตรง
  • ออรัลเซ็กส์ การสัมผัสอวัยวะเพศของผู้ติดเชื้อด้วยปาก
  • การสัมผัสผิวหนัง แม้จะไม่มีการหลั่งของน้ำเหลือง
  • การสัมผัสแผล การสัมผัสโดยตรงกับตุ่มน้ำพองหรือแผล
  • ระหว่างตั้งครรภ์ เชื้อสามารถผ่านไปยังทารกในครรภ์ได้
  • ระหว่างการคลอด โรคเริมในเด็กทารก อาจเกิดจากการติดเชื้อจากช่องคลอดของแม่
  • ระหว่างให้นมบุตร หากมีรอยโรคที่หัวนม

อาการของโรคเริม 

โรคเริมเป็นยังไง?  เริมมักเริ่มด้วยอาการคันยิบ ๆ บริเวณที่ติดเชื้อ จากนั้นจะเกิดตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ รวมกลุ่มกันเป็นผื่นแดง อาจมีอาการเจ็บแสบ คัน และบวมแดงร่วมด้วย ตุ่มน้ำเหล่านี้จะค่อย ๆ แตกและกลายเป็นแผลเปื่อย ก่อนจะตกสะเก็ดและหายไปได้เอง

  • บริเวณปากและใบหน้า ตุ่มน้ำใสที่ริมฝีปาก มุมปาก หรือภายในช่องปาก
  • บริเวณอวัยวะเพศ โรคเริมจะมีระยะในการฟักตัวเท่าใด? โดยปกติเชื้อจะฟักตัวประมาณ 2-14 วัน โดยจะมีตุ่มน้ำใสที่อวัยวะเพศภายนอกหรือภายใน อาจมีอาการปวดแสบขณะปัสสาวะ หรือมีตกขาวผิดปกติ
  • อาการทั่วไป ไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต

อวัยวะเพศหญิง 

ผู้หญิงที่เป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศ มักมีอาการหลากหลาย เช่น คัน แสบร้อน บวมแดง อาจพบตุ่มน้ำใสหรือแผลพุพองที่อวัยวะเพศ ช่องคลอด หรือบริเวณใกล้เคียง เช่น ขาหนีบ หรือทวารหนัก นอกจากนี้ อาจมีอาการปัสสาวะแสบขัด ตกขาวผิดปกติ และไข้ร่วมด้วยได้

อวัยวะเพศชาย 

โรคเริมที่อวัยวะเพศชาย ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดแสบร้อน คล้ายถูกหนามทิ่ม บริเวณอวัยวะเพศ อาจมีตุ่มน้ำใส พุพอง หรือแผลเปื่อย เกิดขึ้นที่หัวองคชาต รอบๆ องคชาต หรือบริเวณใกล้เคียง เช่น ทวารหนัก ถุงอัณฑะ อาการอื่น ๆ ที่พบบ่อยคือ คัน บวมแดง ปัสสาวะแสบขัด และอาจมีไข้ร่วมด้วย

โรคเริม VS. งูสวัด ต่างกันหรือไม่

โรคเริมและงูสวัดเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูลเฮอร์ปีส แต่เป็นชนิดของไวรัสที่แตกต่างกัน 

  • โรคเริม เกิดจากเชื้อ HSV (Herpes Simple Virus) และมักพบที่ริมฝีปาก อวัยวะเพศ 
  • โรคงูสวัด เกิดจากเชื้อ VZV (Varicella Zoster Virus) ซึ่งเป็นเชื้อเดียวกับโรคอีสุกอีใส และมักพบตามแนวเส้นประสาท 

ทั้งสองโรคมีอาการคล้ายกัน คือ มีตุ่มน้ำใสขึ้น แต่โรคงูสวัดจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนรุนแรงกว่า และมักมีไข้ร่วมด้วย การแพร่ระบาดของโรคเริมสามารถติดต่อโดยตรงจากการสัมผัสตุ่มน้ำใส ส่วนโรคงูสวัดไม่ติดต่อโดยตรง แต่สามารถติดต่อไปยังผู้ที่ยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใสได้ หากสงสัยว่าเป็นโรคใด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

โรคเริมอันตรายไหม มีภาวะแทรกซ้อนหรือไม่

โรคเริมอันตรายไหม? โรคเริมไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดตุ่มพองที่ปากหรืออวัยวะเพศเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ หากเชื้อไวรัสแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น

  • ตา อาจเกิดการอักเสบติดเชื้อที่ดวงตา ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้
  • สมอง เชื้อไวรัสอาจเข้าไปทำลายเซลล์ประสาทในสมอง ทำให้เกิดภาวะสมองอักเสบ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
  • ทารกในครรภ์ หากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อเริม อาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้ เช่น เกิดการติดเชื้อรุนแรงในทารกแรกเกิด หรือทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนด

ขั้นตอนและวิธีการวินิจฉัยโรคเริม 

เมื่อคุณสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคเริม แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยโดย

  1. สอบถามประวัติ แพทย์จะถามเกี่ยวกับอาการที่คุณเป็น เช่น มีตุ่มน้ำใสบริเวณใดบ้าง เมื่อไหร่ที่เริ่มมีอาการ และเคยมีประวัติการติดเชื้อมาก่อนหรือไม่
  2. ตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจดูลักษณะของตุ่มน้ำใสหรือแผลพุพอง เพื่อประเมินว่าเป็นโรคเริมหรือไม่
  3. ตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อยืนยันการวินิจฉัย แพทย์อาจสั่งตรวจเพิ่มเติม เช่น
  • PCR Test เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสโดยตรงจากตัวอย่างที่ได้จากตุ่มน้ำใส ซึ่งเป็นวิธีที่รวดเร็วและแม่นยำที่สุด
  • เพาะเชื้อ นำตัวอย่างไปเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ เพื่อดูว่ามีเชื้อไวรัสเจริญเติบโตหรือไม่
  • ตรวจเลือด เพื่อวัดระดับภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัส ซึ่งจะช่วยยืนยันการติดเชื้อในอดีต

การรักษาโรคเริม มีวิธีการอย่างไร

โรคเริมรักษาหายไหม? โรคเริมเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยในบริเวณอวัยวะเพศ และปาก ที่ไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด เพราะมักจะกลับมาเป็นซ้ำได้ ดังนั้น การรักษาโรคเริมจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อบรรเทาอาการและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ ซึ่งโรคเริมมีวิธีการรักษา ดังนี้

  • ยาต้านไวรัส ช่วยยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส ทำให้แผลหายเร็วขึ้น และลดโอกาสการเกิดซ้ำ ยาต้านไวรัสที่นิยมใช้ ได้แก่ อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) แฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir) และวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir)
  • ยาระงับความเจ็บปวด ช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากแผลเริม เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) และไอบูโปรเฟน (Ibuprofen)
  • ยาต้านการอักเสบกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) ช่วยลดอาการอักเสบและปวด
  • ยาชาเฉพาะที่ เป็นยาครีมหรือขี้ผึ้งทาที่แผล ช่วยลดอาการปวดและคัน เช่น เบนโซเคน (Benzocaine) ไลซีน (L-lysine) และโดโคซานอล (Docosanal)

รักษาแล้ว กลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่

โรคเริมเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ (HSV) ซึ่งเมื่อติดเชื้อแล้ว ไวรัสจะเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในปมประสาท ทำให้แม้จะรักษาอาการให้หายไปแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้เสมอ อาจจะกลับมาเป็นซ้ำเมื่อร่างกายอ่อนแอลงจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ ภูมิคุ้มกันลดลง หรือการติดเชื้ออื่น ๆ ไวรัสที่หลบซ่อนอยู่ก็จะถูกกระตุ้นให้กลับมาแสดงอาการอีกครั้ง

วิธีดูแลตัวเองหลังเป็นเริม

การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะช่วยให้อาการดีขึ้นเร็ว และป้องกันไม่ให้โรคเริมกลับมาเป็นซ้ำ

  • พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โรคเริมกินอะไรได้บ้าง? เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีน เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารทอด และอาหารแปรรูป
  • ดื่มน้ำสะอาด ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยให้ร่างกายขับของเสีย
  • ออกกำลังกายเบา ๆ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดิน หรือโยคะ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
  • จัดการความเครียด หาเวลาผ่อนคลาย เช่น การฟังเพลง หรือการทำสมาธิ
  • รักษาความสะอาด ล้างมือบ่อย ๆ และทำความสะอาดบริเวณที่เป็นแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาด
  • ประคบเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบที่แผล เพื่อลดอาการปวดและบวม
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด ระหว่างที่มีแผล ควรหลีกเลี่ยงการจูบ หรือการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  • แยกของใช้ส่วนตัว ควรใช้แก้วน้ำ จาน ช้อน และผ้าเช็ดตัวคนละชุด

วิธีการป้องกันโรคเริม ทำได้อย่างไร

เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสเริมและลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ควรปฏิบัติดังนี้

  • ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว หรืออุปกรณ์โกนหนวด
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง กับตุ่มน้ำใสหรือแผลของผู้ป่วย
  • ป้องกันในระหว่างมีเพศสัมพันธ์ สวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง
  • ล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังสัมผัสบริเวณที่อาจมีเชื้อ
  • รักษาความสะอาดร่างกาย อาบน้ำชำระร่างกายเป็นประจำ
  • ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง
  • พบแพทย์เมื่อมีอาการ หากสงสัยว่าตนเองติดเชื้อ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

สรุป

โรคเริมเป็นโรคติดต่อทางไวรัสที่สามารถแพร่กระจายได้ง่าย โดยมีสาเหตุจากเชื้อ HSV-1 และ HSV-2 ที่ก่อให้เกิดตุ่มน้ำใสและแผลบริเวณริมฝีปากหรืออวัยวะเพศ การรักษาทำได้โดยใช้ยาต้านไวรัสและบรรเทาอาการ แต่เชื้อไวรัสจะยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกายและอาจกลับมาเป็นซ้ำได้ การป้องกันทำได้โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง ใช้ถุงยางอนามัย และรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล

ที่ Z by Zeniq คือคลินิกสุขภาพทางเพศ รักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างครอบคลุมและเป็นความลับ เรามีแพทย์เวชศาสตร์ทางเพศพร้อมให้บริการ ทั้งการตรวจวินิจฉัย และให้คำปรึกษาอย่างละเอียด ในบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว ปลอดภัย และไม่ตัดสิน คุณสามารถนัดหมายได้ง่าย ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ หรือโทรมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย