Hotline: (+66)98 764 7222

STD Testing คืออะไร? รู้เท่าทัน พร้อมป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ในยุคที่การมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องปกติ การดูแลสุขภาพทางเพศจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) เป็นภัยเงียบที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณได้อย่างมาก ทำให้การตรวจ STD จึงเป็นเหมือนเกราะป้องกันที่ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าร่างกายของคุณปลอดภัยจากโรค และยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อคู่รักของคุณอีกด้วย

บทความนี้จะพาไปรู้จักกับ STD Testing ที่เป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัยที่สุดในการตรวจหาเชื้อและรักษาให้หายได้ทันท่วงที

ทำความรู้จักกับโรค STD 

โรค STD ย่อมาจาก Sexually Transmitted Diseases คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต ซึ่งสามารถแพร่กระจายจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งผ่านการมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการสัมผัสสารคัดหลั่งจากร่างกาย เช่น เลือด น้ำอสุจิ และของเหลวในร่างกาย

นอกจากนี้ โรค STD สามารถติดเชื้อได้หลายวิธี ไม่จำกัดเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้เข็มร่วมกัน การให้เลือด หรือแม้กระทั่งการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกในระหว่างตั้งครรภ์หรือคลอด

STD Testing คืออะไร ทำไมต้องตรวจ

STD Testing คือการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อค้นหาเชื้อโรคหรือสัญญาณของโรคที่สามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เพราะโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาจไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น ทำให้ผู้ติดเชื้อไม่รู้ตัวและเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นได้

ซึ่งการทำ STD Testing มีความสำคัญหลายอย่าง ดังนี้

  • ป้องกันการแพร่กระจายของโรค: ช่วยให้สามารถค้นพบและรักษาโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะมีการแพร่กระจายเชื้อไปยังคนอื่น
  • รักษาสุขภาพทางเพศ: การตรวจเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพทางเพศที่ดี โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยครั้งหรือไม่มีการใช้ถุงยาง
  • วางแผนอนาคต: สำหรับผู้ที่วางแผนมีบุตรหรือแต่งงาน การตรวจ STD สามารถช่วยให้มั่นใจว่าทั้งคู่ปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

โรคที่ตรวจพบจาก STD Testing

โรค STD มีอะไรบ้าง? ซึ่งโรคที่มักจะถูกพบในโปรแกรม STD Testing ได้แก่

  • HIV (เอดส์)
  • ซิฟิลิส
  • หนองใน (Gonorrhea)
  • หนองในเทียม (Chlamydia)
  • ไวรัสตับอักเสบ B
  • เริม (Herpes)
  • มะเร็งปากมดลูก (HPV)

อาการของโรคติดต่อที่ควรทำ STD Testing 

โรค STD มีอาการทั้งแบบที่เห็นได้ชัดและแบบที่ไม่มีอาการให้สังเกตได้ง่าย ๆ 

อาการที่พบได้บ่อยในผู้หญิง

  • ตกขาวมากขึ้น มีสี มีกลิ่น หรือลักษณะเปลี่ยนไป
  • รู้สึกเจ็บที่บริเวณอวัยวะเพศในขณะมีเพศสัมพันธ์
  • เวลาปัสสาวะจะรู้สึกแสบและอาจมีเลือดปน
  • มีผื่น หรือรอยแผล และคันที่บริเวณอวัยวะเพศ
  • มีกลิ่นไม่พึงประสงค์จากช่องคลอด

อาการที่พบได้บ่อยในผู้ชาย

  • มีตุ่ม ผื่น หรือรอยแผล และคันบริเวณอวัยวะเพศ
  • มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศ
  • เวลาปัสสาวะจะรู้สึกแสบและอาจมีเลือดปน
  • ปวดบริเวณอวัยวะเพศ หรือท้องน้อย

หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง หากปล่อยทิ้งไว้ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว รวมถึงอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้

STD Testing เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่วางแผนจะแต่งงานหรือมีบุตร: เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่คู่รักและทารกในครรภ์ เพราะโรคบางชนิดสามารถส่งผ่านไปยังทารกได้
  • ผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ: เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยครั้ง หรือการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
  • ทุกคนที่อายุ 13-64 ปี: ควรได้รับการตรวจเชื้อเอชไอวีอย่างน้อยหนึ่งครั้งเพื่อความปลอดภัย
  • ผู้ที่เริ่มมีอาการผิดปกติ: เช่น อาการเจ็บปวดบริเวณอวัยวะเพศ หรือมีตกขาวผิดปกติ ควรเข้ารับการตรวจทันที
  • ผู้ที่เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ: มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อจากผู้กระทำ

การเตรียมตัวก่อนตรวจ

การเตรียมตัวก่อนทำ STD Testing เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผลการตรวจมีความแม่นยำและเชื่อถือได้มากขึ้น

  • งดการมีเพศสัมพันธ์: ควรงดการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 48 ชั่วโมง ก่อนเข้ารับการตรวจ 
  • หลีกเลี่ยงการทำความสะอาดภายใน: ห้ามทำความสะอาดภายในช่องคลอดหรืออวัยวะเพศในช่วง 48 ชั่วโมงก่อนตรวจ เพราะอาจทำให้ไม่มีเซลล์เพียงพอสำหรับการตรวจ
  • งดใช้ผลิตภัณฑ์ในช่องคลอด: ห้ามใช้ผ้าอนามัยชนิดสอด ครีมหรือยาในช่องคลอดอย่างน้อย 48 ชั่วโมงก่อนตรวจ
  • หลีกเลี่ยงการตรวจในช่วงมีประจำเดือน: ควรรอตรวจหลังจากที่ประจำเดือนหมดไปอย่างน้อย 7 วัน เพื่อให้ผลตรวจแม่นยำ

สามารถตรวจโรคได้จากอะไรบ้าง

การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) มีหลายวิธี ซึ่งแพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดตามอาการและประวัติของผู้ป่วย ซึ่งวิธีการตรวจที่พบบ่อย ได้แก่

  • ตรวจเลือด: แพทย์จะเจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจหาเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น HIV, ซิฟิลิส, ไวรัสตับอักเสบ B และ C
  • ตรวจปัสสาวะ: ใช้สำหรับตรวจหาเชื้อโรคบางชนิดที่พบในปัสสาวะ เช่น หนองในเทียมและหนองในแท้
  • ตรวจจากสารคัดหลั่ง: แพทย์จะเก็บตัวอย่างจากบริเวณที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อ เช่น ช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก เพื่อนำไปตรวจหาเชื้อโรค เช่น โรคเริม
  • ตรวจทางพันธุกรรม (PCR): เช่น ปัสสาวะ คอ ทวารหนัก ปากมดลูก ผิวหนัง เป็นต้น เป็นวิธีการตรวจที่แม่นยำสูง ใช้ตรวจหาเชื้อโรคที่ตรวจด้วยวิธีอื่นได้ยาก เช่น HPV โดยการตรวจวิเคราะห์ DNA ของเชื้อโรค

การตรวจสุขภาพเหล่านี้มีความปลอดภัยสูงและผลข้างเคียงน้อยมาก หลังจากการตรวจ แพทย์จะนำผลตรวจมาวิเคราะห์และให้คำแนะนำในการรักษาต่อไป หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตรวจสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์

STD Testing ราคาเท่าไร

ราคาการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD Testing) ขึ้นอยู่กับประเภทของการตรวจ จำนวนรายการ และชนิดของโรคที่ต้องการตรวจ ดังนี้

ทำไมต้องเลือก ZbyZeniq Clinic

  • ตรวจไว รู้ผลเร็ว: รับผลตรวจภายใน 1 วันทำการ หรือเลือกรับผลด่วนภายในวันเดียว
  • ครอบคลุมทุกโรค: ตรวจหาเชื้อ HIV, ซิฟิลิส, ไวรัสตับอักเสบ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ อีกมากมาย
  • เทคโนโลยีทันสมัย: ใช้เครื่องมือตรวจวิเคราะห์ที่ทันสมัย ให้ผลตรวจที่แม่นยำ
  • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: ให้คำปรึกษาและดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทางเพศ
  • ราคาพิเศษ: มีโปรโมชันและแพ็กเกจให้เลือกหลากหลาย เพื่อให้คุณเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น

สรุป

STD Testing เป็นการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน หรือมีความเสี่ยงต่าง ๆ ซึ่งสามารถตรวจพบโรคได้หลายชนิด เช่น เอชไอวี ซิฟิลิส หนองใน และเริม โดยคลินิก Z by Zeniq มีบริการตรวจที่ได้มาตรฐาน พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาอย่างเป็นส่วนตัว